ประวัติความเป็นมาของขนมจีบ
ค้นคว้าเมื่อ 27 มิถุนายน 57
ขนมจีบเป็นอาหารว่างประเภทคาวแบบแห้งของประเทศจีน โดยการปรุงอาหารว่างชนิดนี้จะใช้แป้งเป็นแผ่นห่อไส้ โดยห่อเป็นทรงกระบอกลักษณะคล้ายกับผลทับทิม หรือคล้ายกับดอกไม้บาน หลังจากนั้นจึงนำไปนึ่งจนสุก ในภาษาจีนกลางเรียกว่า “ซาวม่าย” (烧麦:shao mai)
ซึ่งในแต่ละท้องที่จะมีการเรียกที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่จะต่างที่เพียงเสียง
หรือการใช้อักษรแทนเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โดยทางเหนือ เช่นในบริเวณปักกิ่ง จะเรียกว่า “ซาวม่าย” โดยใช้อักษรคำว่า “烧麦” แทนเสียงคำว่าซาวม่าย แต่ในบริเวณมณฑลเจียงซู
เจ้อเจียง กวางตุ้ง และกวางซีจะเรียกว่า “ซาวม่าย” โดยใช้อักษรว่า “烧卖”
(shao mai)แทนเสียง บางพื้นที่อาจแตกต่างมากกว่าที่อื่น เช่น บริเวณแถบแต้จิ๋วจะเรียกว่า “เซียวหมี่” (肖米:xiao
mi) เป็นขนมที่นิยมรับประทานกันทั้งชาวใต้และชาวเหนือของจีน
ประวัติของขนมจีบเริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวนโดยบันทึกไว้ว่า
ขนมจีบนั้นใช้ข้าวสารนวดเป็นแป้ง ใช้หมูเป็นไส้ ที่ยอดขนมจีบให้ทำเป็นรูปดอกไม้
จากบันทึกที่บันทึกไว้ทำให้เราทราบกันว่าขนมจีบของจีนมีประวัติยาวนานกว่า 700 ปีแล้ว
โดยขนมจีบนั้นเดิมทีเป็นวัฒนธรรมของเมืองฮูฮฮอต มองโกเลียใน
จากการนำมาขายในร้านน้ำชาบนเส้นทางสายไหมจนได้ชื่อว่า捎卖 (shao mai) ที่แปลว่า สินค้าที่ขายเป็นงานอดิเรกเครื่องเคียง หรือ
อาหารเรียกน้ำย่อยคู่กับชา
ถูกนำมายังกรุงปักกิ่งและเทียนจินโดยพ่อค้าจากชานซีในช่วงระหว่างราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง
และต่อมาได้เปลี่ยนตัวอักษรแทนเสียงเป็น “烧麦”, ”稍美” และ ”烧卖” ตามลำดับ
ขนมจีบเป็นที่นิยมสำหรับชาวเมืองกว่างโจว
มณฑลกวางตุ้ง (广东省) ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายทั่วโลกตามลำดับ
ในสมัยก่อนขนมจีบมักนิยมรับประทานคู่กับน้ำชา และถือเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมของอาหารติ่มซำ(點心:dim sum; ภาษาจีนกลาง อ่านว่า เตี่ยนซิน; ภาษากวางตุ้ง อ่านว่า ติ่มซำ)
เช่นเดียวกับซาลาเปา
ซึ่งเรียกง่ายๆก็คือ
ติ่มซำคืออาหารว่างที่นิยมรับประทานกับน้ำชาของชาวจีนกวางตุ้ง
และขนมจีบก็เป็นหนึ่งในจำพวกแผ่นแป้งห่อ (餃, 餃子)ของเมนูติ่มซำที่รับมาจากวัฒนธรรมฮูฮฮอตของชาวมองโกลนั่นเอง
ติ่มซำเป็นอาหารว่างที่โดยปกติแล้วมักจะทานตอนสายๆ ก่อนเที่ยง แต่ปัจจุบันก็สามารถหารับประทานได้ตลอดเวลา
แม้กระทั่งตอนดึก ซึ่งจะพบเห็นได้ที่ฮ่องกง
ติ่มซำเกิดขึ้นที่เมืองกวางตุ้ง มีตำนานเล่ากันว่าสมัยก่อนนั้นมีนักเดินทางตามเส้นทางสายไหม มักจะหาสถานที่เพื่อแวะพักผ่อนระหว่างการเดินทาง
ดังนั้นบนเส้นทางสายไหมจึงเต็มไปด้วย " ร้านน้ำชา"หรือ "Yum Cha" เพื่อต้อนรับอาคันตุกะนักเดินทางแปลกหน้าเป็นประจำ
ขณะเดียวกันชาวนาตามชนบทเมื่อทำงานเหนื่อยล้าก็จะแวะพักผ่อนและดื่มน้ำชายามบ่ายตามร้านน้ำชาเหล่านี้ ขณะที่ดื่มน้ำชาก็จะต้องมีอาหารกินเล่นเพื่อกินคู่กับน้ำชาบรรดาเจ้าของร้านจึงเริ่มคิดหาอาหารกินเล่นต่างๆ ขึ้นมาจึงเป็นที่มาของติ่มซำในเวลาต่อมา ด้วยความที่เป็นอาหารกินง่ายและรสชาติแปลกใหม่ ติ่มซำจึงกลายเป็นอาหารที่นิยมไปทั่วโลก
บทความนี้ ผู้เขียนค้นคว้าหาข้อมูลจากหลายๆเว็บที่มีหลายภาษา ซึ่งต้องใช้ความพยายามในการรวบรวม และการแปลอย่างยิ่ง ดังนั้น หากต้องการนำส่วนหนึ่งของบทความนี้ไปใช้ ขอความกรุณาให้ Credit ด้วยนะคะ
ขอบคุณ - http://www.reurnthai.comCredit : ภาพที่1:https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&cad=rja&uact=8&ved=0CAYQjB0&url=https%3A%2F%2Fwww.gotoknow.org%2Fposts%2F470057&ei=87rEVLXFEcW7mgXm_oHADQ&bvm=bv.84349003,d.dGc&psig=AFQjCNEurc9K8wxSdiSigPMLY7pIM_Xr9g&ust=1422264908418131
- http://snack57.wordpress.com
- http://th.wikipedia.org/wiki/ติ่มซำ
- http://www.chokdeedimsum.com/th/history.php
- http://thai.cri.cn
- http://en.wikipedia.org/wiki/Shumai
- http://news.ganji.com/shaomaidemingchengyoulai.htm
ภาพที่2: http://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&cad=rja&uact=8&ved=0CAYQjB0&url=http%3A%2F%2Fwww.tourtooktee.com%2F%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2597%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25A7%2Fsilk-road-%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1-2&ei=YLvEVLi4KcbtmgX7-YHYCw&psig=AFQjCNER0Csl4Z1B1lSOiqHO8BgBwWZrBQ&ust=1422265284999532
โด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น